ตอบโจทก์ตัวเองอย่างดี ว่าครั้งหนึ่งในชีวิตอยากทำอะไรบ้างที่ทำแล้วคุ้ม และต้องเอาใจไปเต็มๆแบบไม่ต้องบ้า แต่แค่ต้องกล้าลอง ทริปนี้ตั้งชื่อว่าไม่บ้าแต่กล้าโดด เพราะเราทำมาแล้ว “กระโดดเครื่องบิน” หรือ SKY DIVING การกระโดดพลีชีพออกจากเครื่องบินที่ความสูง 9,000 – 13,000 ฟิต (ประมาณ 3-4 กิโลเมตร) มา มา จะพาไปโดด
Sky Diving คือ การกระโดดออกจากเครื่องบิน ด้วยความเร็วสูงเตรียมโหม่งโลก 200 กม. ต่อ ชั่วโมงและก่อนที่คุณจะได้สัมผัส ความกลัวก่อนตาย เชือกจะกระตุกพร้อมรัดคอ 555
ผ่านมาหลายปีแล้วไม่เคยลืมเลย เรื่องมีอยู่ว่า…
วางแพลนไว้นานวันหยุดครั้งนั้น ชั้นอยากเสี่ยงตาย จะต้องกระโดดเครื่องบินให้ได้ พร้อมเตรียมเงินจำนวนมาก 555 (สำหรับคนจนๆแบบเรา) เพื่อการเสี่ยงชีวิตให้ได้มาซึ่งประสบการณ์ที่ไม่อาจลืมได้ตลอดชีวิต
Sky Diving Tandem Jump เป็นการกระโดดร่มแทนดั้มครั้งแรกสำหรับคนที่ไม่มีประสบการณ์”แบบเรา” คู่กับ “ครูฝึก” ซึ่งเป็นนักกระโดดร่มมืออาชีพ ผ่านประสบการณ์โดดแบบการันตีความตายมาหลายครั้ง โดยใช้สายรัด ล๊อคตัว ติดลงมากับครูฝึก โดยครูฝึกเป็นผู้ควบคุมร่มให้และสอนวีธีการบังคับร่มเบื้องต้น สอนให้ร่อนลงพื้นแบบไม่เจ็บตัว ในท่าที่ปลอดภัยที่สุด
การโดดร่มเป็นกีฬาที่มีความเสี่ยงสูง ให้ทำใจไว้ว่า การกระโดด ไม่ได้สมบูรณ์แบบทุกครั้ง เพราะครั้งที่คุณกระโดดอาจเจออุบัติเหตุได้ทุกรูปแบบ หากคุณต้องเสียชีวิต คุณก็ต้องยอมรับว่าคุณจะต้องตายเพราะตัวคุณเลือกเอง
เมือง Durban ประเทศ South Africa ตื่นเช้ามาด้วยความตื่นเต้น เช้าวันนั้นอากาศดีเหมือนเดิม หลังจากทำการจอง บริษัทส่งรถมารับแต่เช้าเพื่อไปให้ทันการโดดเครื่องบินรอบเช้าสุด นั่งรถชมวิว 2 ข้างทาง วิวสวยตลอดทาง ดูไปคล้ายๆประเทศไทยในเรื่องสีเขียว และ คอนทราสของแสง แต่ถนนหนทางที่นี่ก็ชนะขาดในเรื่องของความสะอาด แม้กระทั่งในเมืองหรือนอกเมือง บ้านเมืองที่นี่สร้างแปลกๆ เป็นกระท่อมกลมๆ เตี้ยๆ แค่ชั้นเดียว มาจากการดีไซน์แบบหมู่บ้านอัฟริกา เพื่อป้องกันความร้อนจัด ในฤดูร้อน
นั่งรถไปคุยกับคนขับรถไปตลอดทาง พร้อมนับเงินที่เตรียมเอาไปจ่ายค่ากระโดดร่ม หมื่นกว่าบาท แบบตาละห้อย เงิน Africa เรียกว่า แรนด์ มีแบงค์ 5 แบบ เป็นรูปสัตว์คู่ขวัญของประเทศ ที่คนอัฟริกาเรียกกันว่า Big 5
ได้แก่ แรด ช้าง สิงโต ควายป่า และเสือดาว ใครได้เห็นครบทั้ง 5 จะโชคดีมาก ( ยิ่งใครได้ครอบครองมีแบงค์เสือดาวหลายๆใบจะรวยมาก )
คนขับรถคุยสนุกดี บอกว่าตัวเองเป็นคนชาว ซูลู หรือชาวพื้นเมือง อัฟริกา พร้อมทั้งเอาคู่มือภาษาแบบง่ายมาให้อ่านคุยไปคุยมา คนขับกับเรา เกิดวันเดียวกัน!!!
นั่งรถเกือบชั่วโมงทีเดียว ไกลออกมานอกเมืองเพราะสถานที่สำหรับการโดดร่ม ต้องเป็นทุ่งหญ้ามีพื้นที่กว้างไว้ร่อนลง ยิ่งใกล้ก็ยิ่งตื่นเต้น และแล้วก็มาถึงเบสแค้มป์ เข้ามาข้างใน มีลานกว้าง แล้วเราก็เจอกับเครื่องบินที่จะพาเราขึ้นไปเหิรฟ้า เข้าไปใกล้ๆ เครื่องบินดูไม่ใหญ่เท่าไหร่ แค่เนี้ยเหรอ ที่จะพาเราขึ้นไปไต่ระดับความสูง 9,000 – 13,000 ฟีต หรือประมาณ 3-4 กิโลเมตร
ก่อนมา ศึกษาไว้นิดนึงว่า การมาทำกิจกรรมนี้ควรใส่เสื้อผ้ากระชับ รองเท้าปกปิดหุ้มส้นให้ดีแบบรองเท้าผ้าใบ
ทางบริษัทจะมีชุดฟอร์มที่ใส่สำหรับกิจกรรม เป็นชุดหมีให้เปลี่ยนเพื่อความคล่องตัว แต่งตัวเสร็จแล้ว… ดูน่ารักดี เพราะชุดเข้ากับสีรองเท้าแบบบังเอิญ
สงสัยล่ะสิ ใครถ่ายรูปให้? จะเป็นใครไปไม่ได้อีก นอกจาก คนขับรถของเราเอง
ขอย้ำว่า การกระโดดร่มมีความเสี่ยงสูง ดังนั้นจึงต้องมีการดูวีดีโอคร่าวๆ สอนขั้นตอนความปลอดภัยต่างๆ การปฏิบัติตัวเบื้องต้น การลงสู่พื้นโดยใช้เวลาไม่นาน และ ต้องเซ็นต์เอกสารก่อนเริ่มกระโดด หากเกิดความผิดพลาด ถึงขั้นเสียชีวิตจากการโหม่งโลก บริษัทจะไม่รับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น เพราะเป็นการรนหาที่ตายเอง
นี่คือครูฝึกของเราที่คอยชวนคุย คอยแซว และคอยเช็คตลอดเวลา ว่าเรายังโอเคอยู่มั้ย
มองฟ้าแล้วถอนหายใจอีกครั้ง พร้อมแล้วนะ…พร้อม…!! เราไต่ไปสูงขึ้นๆๆ อากาศเย็นลงๆจนเริ่มหนาว ความกลัวเข้ามาแทรก เมื่อมาถึงความสูงที่ได้ระดับ หอบังคับการกับนักบินจะส่งสัญญาณบอกครูฝึกว่า ให้โยนเด็กเธอลงไปได้แล้ว สิ่งที่น่ากลัวที่สุด ไม่ใช่การกระโดดครั้งแรกออกจากเครื่องบินเลย แต่เป็นวินาทีที่เห็นคนอื่นกระโดดลงไปก่อน
ปล.ไอ้หมอนี่ ไม่กรี๊ดเลยสักแอะ
ในที่สุดเราก็ไม่รอด ครูฝึกจับมานั่งหย่อนขาข้างเครื่องบิน ให้รู้สึกชิน และเตรียมตัวโดด มืออยู่ในท่าเตรียมพร้อม คือประกบกันไว้โอบรอบตัว เพราะเราอาจกลัวจนเผลอไปปลดเชือกครูฝึกได้ ( อันนี้คิดเอง ) ระหว่างที่มองลมพัดรองเท้าเพลินๆคิดว่า ลมข้างบนนี้แรงดีจริงๆน้า รองเท้าจะปลิวมั้ยน้า
….ครูฝึกก็….กระโดดออกไปแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง….
ก ร ี๊ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด ด
เสียง….กรีดร้องของเรายาวที่สุด ดังที่สุดในชีวิตนี้แล้วมั้ง แต่ด้วยระยะเวลาจริงๆในการดิ่งลงมา ใช้เวลาแค่ 30 วินาที แต่ทำไมรู้สึกเหมือนลอยอยู่นาน กรี๊ดแล้วนิ่ง นิ่งแล้วกรี๊ด เเอ๊คท่าแล้ว เปลี่ยนท่าแล้ว ก็ไม่ถึงสึกที รู้สึกถึงลมตีหน้าพั่บๆ ด้วยความเร็ว 200 กม. ต่อ ชั่วโมง ณ จุดนี้
ในขณะที่รู้สึกว่า ขยับเข้าใกล้โลกมากขึ้นๆ ร่มก็กระตุก … พรึ่บ!!!… ครูฝึกกระตุกเชือกรัดคอ (วันนั้นเชือกรัดจริงๆดูจากรูปได้) จากมุมที่ถ่ายสามารถมองเห็นข้างบนเห็นว่าร่มใหญ่มากและน่าจะกางสักสองชั้น
ใช้เวลาอีกประมาณ 5 นาทีในการร่อนลงพื้น จังหวะนี้ครูฝึกสอนเราบังคับทิศทางของร่ม ไปซ้าย-ขวา ตามแรงลม และเมื่อครูฝึกเห็นว่า เราเริ่มบังคับออกนอกเส้นทาง (โดยพยายามอย่างยิ่งที่จะพาร่ม กลับมาให้ถึงประเทศไทย) ครูฝึกจึงยึดร่มคืน และพาร่อนสู่ ประเทศแอฟริกาอีกครั้ง
ช่วงที่ร่อนเกือบถึงพื้นเราต้องยกขาไว้ในแนวราบ เพื่อการลงจอดแบบปลอดภัย หากเอาสองขาคู่ลงอาจกระแทกอย่างแรงจนขาหักได้ ดังนั้นก้นกระแทกเจ็บน้อยกว่ากระดูกขาหัก เมื่อถึงพื้นจะมีพนักงานมาคอยรับ
จบแล้วค่า ถึงพื้นอย่างปลอดภัย เราก็ลากันตรงนี้แล้วรีบไปเกาะกลุ่ม กะไอ้หนุ่มที่โดดลงมาก่อนเมื่อกี้ และเมาท์กันด้วยความเมามันกับประสบการณ์ที่จะจำกันไปจนตาย ความสวยงามขณะดิ่งลงพื้นโลกวันนั้นบอกเลยว่า ผ่านมาหลายปีแล้ว แต่จำได้ทุกขั้นตอน
ชีวิตนี้คุ้มแล้วสินะ จะมีใครสักกี่คนที่มีโอกาสได้เลือกทำในสิ่งที่คนอีกหลายคนไม่กล้าทำ แต่การตัดสินใจทุกอย่างมีความเสี่ยง เพราะฉะนั้นคิดให้ดีๆก่อนทำนะคะ
จะบอกว่า มีภาพข่าวที่บริษัทแปะไว้ที่บอร์ด มีทั้งคนพิการและ คุณยายวัย 82 มาใช้บริการเลย ไม่แน่ใจป่านนี้ทุกคนเป็นยังไง แต่ดูสีหน้าคุณยายขณะกระโดดวันนั้น รู้สึกว่าคุณยายคงคิดแบบเดียวกับเราว่า ชีวิตโคตรคุ้ม
หลังจากนั้น เจ้าของทัวร์ที่เราจองไป ส่งข้อความมาถามฟีดแบคและขอเอารูปเราไปขึ้นหน้าเวปไซด์เค้า คือภาพเราที่ยิ้มปากกว้างแบบในรูปนี่ล่ะ